สัปดาห์ที่ 8


วันที่ 31 กรกฏาคม 2556


หมายเหตุ :: ไม่มีการเรียนการสอน 
เนื่องจากเป็นสัปดาห์ของการสอบกลางภาค


สัปดาห์ที่ 7


วันที่ 24 กรกฎาคม 2556

อาจารย์ทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งยกตัวอย่างในแต่ละขึ้นตอน จับใจความและหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ดังนี้

ทักษะพื้นฐานและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
         การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล  ซึ่งเรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้โดยครูกับเด็กช่วยกันคิดและปฏิบัติเป็นกระบวนการเริ่มจากขั้นที่  1  ถึงขั้นที่  5  ดังนี้
                ขั้นที่  1  กำหนดขอบเขตของปัญหา  ครูกับเด็กร่วมกันคิดตั้งประเด็นปัญหาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น  ต้นไม้โตได้อย่างไร
                ขั้นที่  2  ตั้งสมมุติฐาน  เป็นขั้นของการวางแผนร่วมกัน  ในการที่จะทดลองหาคำตอบจากการคาดเดาล่วงหน้าว่า  ถ้า.......จะเกิด......เป็นต้น
                ขั้นที่  3  ทดลองและเก็บข้อมูล  เป็นขั้นตอนที่ครูกับเด็กร่วมกันดำเนินการตามแผนการทดลองตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ในข้อ  2
                ขั้นที่  4  วิเคราะห์ข้อมูล  ครูและเด็กนำผลการทดลองมาสนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เช่น  ทำไมต้นไม้ปลูกพร้อมกันจึงโตไม่เท่ากัน
                ขั้นที่  5  สรุปผลคำตอบสมมุติฐาน  ว่าผลที่เกิดคืออะไร  เพราะอะไร  ทำไม  ถ้าเด็กต้องการศึกษาต่อจะกลับมาเรียนขั้นที่  1  ใหม่  แล้วต่อเนื่องไปถึงขั้นที่  5  เป็นวงจรของการขยายการเรียนรู้
               
                 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง  5  ขั้น  เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเป็นวัฏจักร  ทักษะพื้นฐานที่ต้องนำมาใช้ในกระบวนการ คือ  การสังเกต  การจำแนกและเปรียบเทียบ  การวัด  การสื่อสาร  การทดลอง  การสรุปและการนำไปใช้  (Brewer,  1995  :  288 - 290)
                การสังเกต  ครูต้องสอนให้เด็กรู้จักสังเกตใช้เทคนิคการสังเกตเป็น  เด็กต้องได้รับการสอนให้รู้จักสังเกตปรากฏการณ์หรือการกระทำอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วน  จากการสังเกตนอกจากการใช้ ตาดู เด็กอาจต้องใช้หูฟัง  จมูกดมกลิ่น  ลิ้นชิมรส  กายสัมผัสหรือรับความรู้สึก หรือใช้ทุกอย่างร่วมกัน
                การจำแนกเปรียบเทียบ  การจำแนกเป็นทักษะพื้นฐานที่ใช้ในการจัดระเบียบข้อมูล  ซึ่งในการจำแนกนี้เด็กต้องสามารถเปรียบเทียบและบอกข้อแตกต่างของคุณสมบัติ  ถ้าเด็กเล็กมาก  เด็กอาจจำแนกสีหรือจำแนกรูปร่างได้  การจำแนกหรือเปรียบเทียบสำหรับเด็กปฐมวัย  ต้องใช้คุณสมบัติหยาบ ๆ  เห็นรูปธรรมเด็กจึงจะทำได้
                การวัด  การวัดเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและตัดสินเพื่อบอกว่าขนาด  ปริมาณของสิ่งที่เห็นคืออะไร  เด็กปฐมวัยจึงใช้การวัดเป็นการเปรียบเทียบเชิงปริมาณโดยสามารถใช้เครื่องมือวัดอย่างหยาบได้  สามารถบอกมาก-น้อยกว่ากันได้
                การสื่อสาร  ทักษะการสื่อสารจำเป็นมากในกระบวนการวิทยาศาสตร์  เพราะการสื่อสารเป็นทางบอกว่าเด็กได้ สังเกต  จำแนก  เปรียบเทียบ  หรือวัด  เป็นหรือไม่  เข้าใจข้อมูลหรือสิ่งที่ศึกษาในระดับใด  ด้วยการกระตุ้นให้เด็กแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  อภิปรายข้อค้นพบ  บอก และบันทึกสิ่งที่พบ
                การทดลอง  เด็กปฐมวัยเป็นนักทดลองมาโดยกำเนิด  เช่น  การรื้อค้น  การกระแทก  การทุบ  การโยนสิ่งของหรือการเล่น จากการเล่นเป็นการเรียนรู้  ซึ่งมักเป็นการทดลองแบบลองผิดลองถูก  แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะถูกจัดระเบียบมากขึ้น  มีการควบคุมให้เด็กทำอย่างมีระเบียบวิธี  มีการสังเกตอย่างมีความหมาย  เช่น  การทดลองการกระจายของหยดสีในน้ำที่มีความเข้มข้นไม่เท่ากัน  เด็กจะสังเกตเห็นสีสด  สีจาง  ต่างกัน
                การสรุปและการนำไปใช้  เด็กปฐมวัยมีความสามารถสรุปได้เฉพาะข้อมูลเชิงประจักษ์  เด็กสามารถบอกว่าอะไรเกิดขึ้น  สาเหตุใด  มีผลอย่างไร  แต่เป็นไปตามสายตาที่เห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น  ซึ่งการทดลองวิทยาศาสตร์  ทำให้เด็กเห็นจริงกับตา  สัมผัสกับมือ  เด็กจะบอกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น  การได้ฝึกทักษะอย่างเป็นกระบวนการจะทำให้เด็กสามารถบอกได้ว่าจะนำไปใช้ทำอะไร  หรือนำไปใช้แก้ปัญหาอย่างไรได้ด้วย

การทำงานของสมอง




 การสอนแบบโครงการ(Project Approach)

การสอนแบบโครงการกับการสอนแบบหน่วย
ครูปฐมวัยหรือครูอนุบาลเป็นจำนวนมากเคยชินกับการใช้หน่วยการสอนกําหนดกิจกรรมต่างๆ ให้แก่เด็ก การสอนแบบหน่วยมีส่วนคล้ายคลึงกับการสอนแบบโครงการ โดยทั่วไปแล้วการสอนแบบหน่วย คือ การวางแผนกิจกรรมต่างๆ ตามหัวเรื่องที่ครูพิจารณาแล้วว่าสำคัญและเด็กควรรู้เป็นการกำหนดแผนการสอนล่วงหน้า เช่น หน่วยแม่เหล็ก หน่วยนํ้า ฯลฯ ดังนั้น ครูที่ใช้หน่วยการสอนจึงมีการวางแผนการสอน กำหนดแนวคิดและสาระความรู้ที่ต้องการให้เด็กทราบอย่างชัดเจน

ความแตกต่างระหว่างการสอนแบบหน่วยกับการสอนแบบโครงการ มีดังนี้ (Helm and Katz,2001)

การสอนแบบหน่วย
การสอนแบบโครงการ
1. ระยะเวลาการเรียนรู้แบบหน่วยการสอนของเด็กจะสั้นประมาณ 1 – 2 อาทิตย์
2. หัวเรื่องของหน่วยการสอนเกิดจากหลักสูตรและครูเด็กอาจสนใจหรือไม่สนใจก็ได้
3. ครูมีการวางแผนล่วงหน้า นำเสนอหัวเรื่องออกแบบและเตรียมประสบการณ์การเรียนรู้
4. ครูกําหนดจุดประสงค์บนพื้นฐานของเป้าหมายที่หลักสูตรกำหนด อาจจัดให้มีหรือไม่มีประสบการณ์การสืบค้น
5. ความรู้ที่เด็กได้เกิดจากการวางแผนการจัดประสบการณ์ของครู แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนมีกิจกรรมกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่
6. แหล่งข้อมูลต่างๆ ถูกกําหนดโดยครูแต่เด็กอาจมีส่วนนำแหล่งข้อมูลนั้นๆมาได้ด้วย
7. การออกภาคสนามอาจมีหรือไม่มี ถ้ามีมักจะเกิดในเวลาใกล้สิ้นสุดหน่วยการสอน
8. ครูจะสอนหัวเรื่องต่างๆ ในช่วงเวลาที่กําหนดให้แต่ละวัน และอาจสอดแทรกการบูรณาการเนื้อหาต่างๆ เข้าด้วยกัน
9. ครูเป็นผู้วางแผนกิจกรรมต่างๆ (เช่น การประดิษฐ์ การทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ฯลฯ) และให้เรียนเฉพาะแนวคิดที่กำหนด
10. การนำเสนอจะเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่กําหนดไว้โดยเฉพาะ เช่น การวาดเพื่อแสดงการสังเกตในการทดลองวิทยาศาสตร์ การเขียนแผนที่ การเขียนภาพ และจะไม่มีการนำเสนอซํ้า
1. ระยะเวลาของโครงการขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของโครงการ ปกติใช้เวลาหลายสัปดาห์บางโครงการใช้เวลาเป็นเดือน
2. หัวเรื่องของโครงการเกิดจากการตกลงระหว่างเด็กกับครุ พร้อมกับบูรณาการเป้าหมายของหลักสูตร เกณฑ์การเลือกหัวเรื่องขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กมากที่สุด
3. ครูสังเกตการสืบค้นของเด็ก ใช้ความสนใจของเด็กเป็นเครื่องตัดสินการดำเนินโครงการ
4. ครูทำใยแมงมุม Web ประเมินความรู้เดิมของเด็กแล้วจึงตระเตรียมโครงการให้เด็กเรียนรู้สิ่งที่เด็กไม่ทราบ โดยบูรณาการจุดประสงค์ของหลักสูตรเข้าไปด้วยขณะที่โครงการกำลังดำเนินอยู่ และต้องให้เด็กได้สืบค้นอย่างสมํ่าเสมอ
5. ความรู้ที่เด็กได้รับเกิดจากการสืบค้นหาคำตอบจากคำถาม เด็กมีส่วนร่วมตัดสินใจทำกิจกรรมร่วม ในเหตุการณ์ต่างๆ
6. แหล่งข้อมูลต่างๆ ถูกนำมาโดยเด็ก ครูและผู้เชี่ยวชาญที่มาเยี่ยมเยียนห้องเรียนหรือจากการออกภาคสนาม
7. การออกภาคสนามเป็นกระบวนการที่สำคัญของการสอนแบบโครงการแต่ละโครงการเด็กอาจไปสืบค้นข้อมูลในที่ต่างๆกัน และการออกภาคสนามจะปรากฏในช่วงต้นๆ ของการทำโครงการ
8. โครงการจะสอดแทรกในช่วงวันที่เด็กทำกิจกรรมตามปกติในชั้นเรียน และเชื่อมโยงให้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและทักษะต่างๆได้
9. กิจกรรมต่างๆ จะเน้นการสังเกตสืบค้นหาคำตอบจากคำถาม การใช้แหล่งข้อมูลต่างๆ ครูจะช่วยบูรณาการแนวคิดระหว่างการอภิปรายและการสรุป
10. การนำเสนอ (เช่น การวาดภาพ การเขียน การสร้าง การก่อสร้าง ฯลฯ ) ท้าทายเด็กให้บูรณาการแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน ข้อมูลที่นำเสนอคือสิ่งที่เด็กเรียนรู้ความเข้าใจทักษะที่เกิดขึ้น ซึ่งแสดงความก้าวหน้าของโครงการ

จากการเปรียบเทียบการสอนทั้งสองรูปแบบจะพบว่า การสอนแบบโครงการนั้นเด็กมีส่วนริเริ่ม ตัดสินใจ สืบค้น เรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตนเองมากกว่าการสอนแบบหน่วยที่ครูเป็นผู้วางแผนให้ อย่างไรก็ตามเราจะพบว่ามีครูปฐมวัยที่นำลักษณะบางประการของกระบวนการทำโครงการ (เช่น การสร้าง การวาดจากการสังเกต และการจัดทำข้อมูลการเรียนรู้ ฯลฯ) ไปใช้ในรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอื่นๆ อาทิ การสอนแบบหน่วย ซึ่งทำให้การสอนแบบหน่วยมีส่วนคล้ายกับการสอนแบบโครงการ

ประโยชน์ที่เด็กได้เรียนรู้จากการทำโครงการจะเห็นชัดเมื่อเด็กกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น สนใจจดจ่อในหัวเรื่องโครงการ ครูปฐมวัยหลายคนอาจใช้หน่วยการสอนกำหนดกิจกรรม และขณะเดียวกันให้เด็กทำโครงการที่สนใจไปด้วย เพราะการให้เด็กทำโครงการอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนหลักสูตรทั้งหมดได้ สำหรับเด็กปฐมวัยถือเป็นเพียงส่วนที่เสริมเพิ่มเติมให้สมบูรณ์อย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น งานโครงการจะไม่แยกเป็นรายวิชา เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ฯลฯ แต่จะบูรณาการทุกวิชาเข้าด้วยกันโดยเฉพาะเด็กปฐมวัยต้องการครูเป็นผู้ชี้แนะ และเป็นที่ปรึกษาในการทำโครงการ


สัปดาห์ที่ 6



วันที่ 17 กรกฎาคม 2556

สื่อเข้ามุม :: กำแพงแสง


วัสดุ / อุปกรณ์
1           - ฟิวเจอร์บอร์ด
2           - เทปกาว 2 หน้า
3           - เทปกาวกระดาษ
4           - แผ่นใส
5           - กระดาษแข็ง
6           - ไฟฉาย

วิธีเล่น
ให้เด็กๆเลือกฉากที่เด็กๆต้องการใช้ไฟฉายส่อง ใส่เข้าไปในขาตั้งฉากกำแพงแสง
- ใช้ไฟฉายส่องฉากที่เลือกไว้
- สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น และความแตกต่างของแต่ละฉาก

หลักการทางวิทยาศาสตร์
            แสงทำให้เกิดความสว่าง และเมื่อมีวัตถุทึบแสงใด มาอยู่ระหว่างต้นกำเนินแสง กับพื้นผิวที่แสงตดกระทบ จำทำให้เกิดเงาตามรูปร่างของวัตถุนั้นๆ ขึ้น และวัตถุก็สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ทึบแสง โปร่งแสง และโปร่งใส แสงจะส่องผ่านได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุนั้นๆ สามารถให้แสงทะลุผ่านได้มากน้อยแค่ไหน ขนาดของเงาที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของต้นกำเนิดแสง วัตถุที่บังแสง และพื้นผิวที่แสงตกกระทบว่า แต่ละอย่างอยู่ใกล้ - ไกล กันมากน้อยแค่ไหน รวมถึงอยู่ในมุมไหนอีกด้วย

ประโยชน์ที่จะได้รับ
- ทักษะการสังเกต ในการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากใช้ไฟฉายส่องไปที่ฉาก หรือวัตถุ
- ทักษะการคาดคะเน คาดคะเนว่า ถ้าเด็กๆใช้ไฟฉายส่องไปที่ฉาก หรือวัตถุ เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
- ทักษะการสรุป ลงความเห็น เมื่อเด็กๆสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงจากฉากหรือวัตถุหลายๆแบบแล้ว เด็กก็สรุปว่ามันต่างกันอย่างไร

สื่อของเล่นวิทยาศาสตร์ :: เป่า

วัสดุ / อุปกรณ์
1           - กระดาษแข็ง
2           -  กระดาษสี
3           - หน้าตัวการ์ตูน
             -  แผ่นสติ๊กเกอร์ใส
5           - กาว 2 หน้า
6           -  แม็กเย็นกระดาษ

วิธีเล่น
ให้เด็กๆเลือกสื่อเป่าตามรวดลายที่ชอบ
- เป่าลมใส่ทางด้านหัวของตัวการ์ตูน จะเป่าแรงหรือเบา แล้วแต่ต้องการ
- เด็กๆสามารถนำมาเล่นกับเพื่อนๆ แข็งกันเป่า ว่าใครเป่าได้ไกลกว่ากัน

หลักการทางวิทยาศาสตร์
            พลังงานลม เป็นพลังงานตามธรรมชาติที่เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดดันของบรรยากาศและแรงจากการหมุนของโลก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเร็วลมและกำลังลม เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าลมเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีอยู่ในตัวเอง ในปัจจุบันมนุษย์จึงได้ให้ความสำคัญและนำพลังงานจากลมมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เนื่องจากพลังงานลมมีอยู่โดยทั่วไป ไม่ต้องซื้อหา เป็นพลังงานที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อม และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น

ประโยชน์ที่จะได้รับ
ทักษะการสังเกต ในการเป่าแรงวัตถุจะเคลื่อนที่ไปไกล เป่าเบาๆวัตถุจะเคลื่อนที่ใกล้ๆหรืออาจจะไม่เคลื่อนที่เลย
- ทักษะการคาดคะเน คาดคะเนว่า ถ้าเด็กๆเป่าแรงวัตถุจะเคลื่อนที่ไปถึงจุดไหน
- ทักษะทางคณิตศาสตร์ การวัดระยะ ความยาว ระหว่างจุดเริ่มต้นของวัตถุ กับจุดที่หลังจากเป่าวัตถุแล้ววัตถุหยุดการเคลื่อนที่



การทดลอง :: ขวดน้ำพุ่ง
  



อุปกรณ์
1           - ขวดน้ำ ที่เจาะรูข้างๆ
2           - หลอด
3           - ดินน้ำมัน
             - ลูกโป่ง
5           - ถาดรองน้ำ
6           - น้ำเปล่า

วิธีสอน
1.     ถามเด็กๆว่า เด็กๆเห็นอะไรบนโต๊ะบ้างค่ะ
2.     เมื่อเด็กๆบอกว่ามีอะไรบ้างครบทุกชิ้น ใช้คำถามต่ออีกว่า เด็กๆคิดว่าอุปกร์ทั้งหมดนี้           สามารถนำมาทำอะไรได้บ้างค่ะ
3.       เมื่อเด็กๆแสดงความคิดเห็นแล้ว คุณครูก็จะเทน้ำใส่ในขวดที่เจาะรูและใส่หลอดเข้าไป         โดนขวดที่เตรียมไว้จะขีดเส้นข้างขวดว่าควรเติมน้ำให้ได้ระดับไหน
4.      ให้เด็กๆออกมาช่วยเทน้ำลงไปในขวด พร้อมบอกเด็กๆว่า เด็กๆช่วยสังเกตดีๆนะค่ะว่า       จะเกิดอะไรขึ้น
5.      หลังจากที่เติมน้ำเสร็จ คุณครูก็จะนำลูกโป่งออกมาเป่า แต่ก่อนที่จะเป่าก็ถามเด็กๆว่า ถ้า    คุณครูเป่าลมเข้าไปในลูกโป่ง เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นค่ะ
6.       เมื่อเด็กๆตอบคำถามแล้ว จากนั้นคุณครูก็จะนำลูกโป่งที่เป่าลมแล้ว ไปปิดที่ฝาขวด แต่ก่อนที่จะปิดลงไปให้ถามเด็กๆว่า ถ้าคุณครูนำลูกโป่งที่เป่าลงแล้วไปปิดที่ฝาขวด เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นค่ะ
7.      เมื่อเด็กๆตอบแล้ว คุณครูก็จะทำการทดลองให้เด็กดูพร้อมบอกเด็กๆด้วยว่า เด็กๆช่วยกันสังเกตนะค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น
8.      คุณครูใช้คำถามกับเด็กระกว่างการทดลอง เด็กๆเห็นไหมค่ะลูกโป่งมีขนาดเป็นยังไงเมื่อนำไปปิดที่ฝาขวด” 
9.      ที่น้ำพุ่งออกมาจากหลอด เด็กๆคิดว่าเป็นเพราะอะไรค่ะ
10.    คุณครูและเด็กร่วมกันสรุป

หลักการและเหตุผล
            อากาศต้องการที่อยู่ เมื่อนำอากาศเข้าไปในขวดที่ใส่น้ำ พร้อมเจาะรูที่ขวดแล้วใส่หลอดเพื่อให้สามารถมาทางที่อากาศสามารถออกได้  อากาศที่เป่าใส่ในลูกโป่งจะดันน้ำให้พุ่งออกมาจากหลอดโดยความแรงของน้ำจะค่อยๆเบาลงตามระดับน้ำที่ลดลง

ประโยชน์
            เด็กได้ฝึกการสังเกตและตั้งสมมติฐานว่าการทดลองนั้นจะเกิดอะไรขึ้น และยังฝึกการรอคอย การมีสมาธิในสิ่งที่กำลังทำ นอกจากนี้ยังได้เข้าใจถึงเรื่องอากาศต้องการที่อยู่และแรงดันน้ำ 


สัปดาห์ที่ 5

วันที่ 10 กรกฎาคม 2556

                  อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละคนออกมานำเสนอแบบร่าง ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย  ของเล่นที่ดิฉันเลือกมานำเสนอคือ เป่า เป่า เป่า

 


ภาพบรรยากาศการนำเสนองาน


อาจารย์ดูภาพการทดลองของเด็กปฐมวัย ใน หน่วยของน้ำ เรื่องการเปลี่ยนสถานะของน้ำ ดังนี้

            
    ภาพการเปลี่ยนสถานะของน้ำ

ให้เด็กๆเล่นน้ำโดยมีอุปกรณ์การตวงการตัก (น้ำเป็นของเหลวจะเปลี่ยนรูปร่างตามภาชนะ)

การทำเยลลี่หรือหวานเย็น (การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง, ของเหลวมีรูปร่างตามภาชนะเมื่อกลสยเป็นของแข็งก็ยังคงรูปตามภาชนะนั้นอยู่)


เด็กๆระบายสีภาพตามจินตนาการโดยใช้เยลลี่ เพื่อสังเหตการเปลี่ยนแปลง (((..... (//I(การเปลี่ยนสถานะของของแข็งเป็นของเหลว)

ให้เด็กๆนำกระจกมาส่องกาต้มน้ำเดือด แล้วสังเหตว่าผิวกระจกมีไอน้ำติดแล้วกลายเป็นหยดน้ำไหลลงมา(การเกิดไอน้ำ)


เด็กๆสนุกกับการเรียนรู้จากฝนเทียม โดยการทดลองฉีดน้ำให้เป็นละอองออกตามรูของท่อ